SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร? คืออะไร?

SEO และ SEM

ในยุคดิจิทัลที่การตลาดออนไลน์เข้ามามีบทบาทสำคัญ ธุรกิจทุกประเภทต่างพยายามหาวิธีในการเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ของตนให้ปรากฏในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา (Search Engine) อย่าง Google และ Bing สองเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน ซึ่ง SEO (Search Engine Optimization) และ SEM (Search Engine Marketing) ถือเป็นกลยุทธ์หลักในการทำการตลาดออนไลน์ วันนี้เรามาทำความเข้าใจว่าทั้งสองนี้คืออะไรและต่างกันอย่างไร

SEO (Search Engine Optimization) คืออะไร?

What is SEO

SEO คือกระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา โดยเน้นการปรับแต่งเนื้อหาภายในเว็บไซต์, โครงสร้างของเว็บไซต์, และลิงก์ต่าง ๆ เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณสามารถปรากฏในลำดับต้น ๆ ของผลการค้นหาทางธรรมชาติ (Organic Search Results) โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ

การทำ SEO ประกอบไปด้วย:

  1. On-page SEO: การปรับแต่งเนื้อหาภายในเว็บไซต์ เช่น การเลือกคำสำคัญ (Keywords) ที่เหมาะสม, การเขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ, การเพิ่มเมตาแท็ก, การปรับโครงสร้าง URL ให้เหมาะสม
  2. Off-page SEO: การสร้างลิงก์กลับ (Backlinks) ที่มีคุณภาพจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
  3. Technical SEO: การปรับปรุงเทคนิคในเว็บไซต์ เช่น การเพิ่มความเร็วในการโหลด, การปรับให้เว็บไซต์รองรับมือถือ (Mobile-Friendly), และการเพิ่มความปลอดภัยให้กับเว็บไซต์

ข้อดีของ SEO:

  • ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับการโฆษณา
  • ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและน่าเชื่อถือ
  • ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์

ข้อเสียของ SEO:

  • ต้องใช้เวลาในการเห็นผล
  • ต้องมีการอัปเดตและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

SEM (Search Engine Marketing) คืออะไร?

SEM คือการใช้การตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาโดยการจ่ายเงินเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่ในตำแหน่งที่สูงในผลการค้นหา หรือในโฆษณาที่ปรากฏบนเครื่องมือค้นหา ซึ่งการทำ SEM มักจะเกี่ยวข้องกับการใช้บริการโฆษณาแบบ Pay-Per-Click (PPC) เช่น Google Ads

การทำ SEM ประกอบไปด้วย:

  1. การสร้างโฆษณาผ่าน Google Ads: การตั้งค่าแคมเปญโฆษณา, การเลือกคำสำคัญ, และการตั้งงบประมาณเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในตำแหน่งที่ดีที่สุดในผลการค้นหา
  2. การทำการตลาดผ่านการค้นหาที่จ่ายเงิน: เมื่อผู้ใช้คลิกที่โฆษณาของคุณ, คุณจะต้องจ่ายตามจำนวนคลิก (CPC)

ข้อดีของ SEM:

  • ได้ผลลัพธ์ทันที
  • สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
  • จ่ายเงินตามจำนวนคลิกที่ได้รับ

ข้อเสียของ SEM:

  • ต้องมีงบประมาณในการโฆษณา
  • หากหยุดจ่ายเงิน โฆษณาจะหายไปทันที
  • ค่าคลิกอาจสูงในบางคำค้น

SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร?

  • SEO เป็นการทำให้เว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาธรรมชาติ (Organic) โดยไม่ต้องจ่ายเงิน และเน้นการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา
  • SEM คือการจ่ายเงินเพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในตำแหน่งที่สูงในผลการค้นหา โดยผ่านการโฆษณาที่มีค่าใช้จ่าย

ข้อแตกต่างหลัก:

  1. เวลาในการเห็นผล: SEO ต้องใช้เวลาในการเห็นผลที่ยั่งยืน ส่วน SEM สามารถเห็นผลได้ทันที
  2. ค่าใช้จ่าย: SEO ไม่ต้องจ่ายเงินในแต่ละคลิก แต่ต้องลงทุนในการปรับปรุงเว็บไซต์ในระยะยาว ส่วน SEM ต้องมีงบประมาณเพื่อจ่ายค่าคลิกหรือค่าประมูลโฆษณา

สรุป:

ทั้ง SEO และ SEM ต่างมีบทบาทในการช่วยเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา โดย SEO เหมาะสำหรับการสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว ส่วน SEM เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์ทันทีหรือมีงบประมาณสำหรับการโฆษณาอย่างต่อเนื่อง การใช้ทั้งสองกลยุทธ์ร่วมกันจึงจะทำให้เว็บไซต์ของคุณมีการเข้าถึงอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด.

ยกระดับการทำงานในองค์กรด้วยระบบที่มีประสิทธิภาพ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Facebook fanpage และ Line Official

Related Posts

Zoho Social คืออะไร?

Zoho Social คืออะไร? คุ้มค่าไหม?

ในยุคดิจิทัล โซเชียลมีเดีย เป็นหัวใจสำคัญของการตลาดออนไลน์ แต่การจัดการหลายแพลตฟอร์มพร้อมกันอาจเป็นเรื่องยุ่งยาก!

Read More
Zoho Workplace vs Microoft Teams

Zoho Workplace vs Microsoft Teams อะไรดีกว่า?

ในยุคที่การทำงานออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็น ธุรกิจจำเป็นต้องเลือกแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Read More