Zoho Sign vs HelloSign: การเปรียบเทียบฟีเจอร์สำหรับการเซ็นต์เอกสารออนไลน์

ในยุคที่เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน การทำงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสารไม่จำเป็นต้องใช้การเซ็นต์แบบดั้งเดิมอีกต่อไป ระบบการเซ็นต์เอกสารออนไลน์เป็นทางเลือกที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ ซึ่ง Zoho Sign และ HelloSign คือสองเครื่องมือที่ได้รับความนิยมมากในด้านนี้ ในบทความนี้เราจะมาเปรียบเทียบฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ Zoho Sign และ HelloSign เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ

Zoho Sign vs HelloSign

1. ความสามารถในการใช้งาน

• Zoho Sign: เป็นเครื่องมือจาก Zoho ที่สามารถใช้งานได้ทั้งในระบบเว็บและแอปพลิเคชันมือถือ รองรับการเซ็นต์เอกสารที่หลากหลายประเภท รวมถึงการเซ็นต์ที่มีการตรวจสอบลายเซ็นต์แบบดิจิทัล (Digital Signature) ซึ่งเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความปลอดภัยสูง มีการตรวจสอบตัวตนของผู้เซ็นต์ผ่านระบบ OTP (One-Time Password) และการตรวจสอบอีเมล
• HelloSign: เครื่องมือเซ็นต์เอกสารออนไลน์ที่ใช้งานง่ายและเหมาะสำหรับทั้งธุรกิจขนาดเล็กและใหญ่ โดย HelloSign ยังมีฟีเจอร์การผสานรวมกับบริการอื่น ๆ เช่น Google Drive, Dropbox, และ Box ซึ่งทำให้การจัดการเอกสารที่มีอยู่แล้วในระบบคลาวด์เป็นเรื่องง่าย

2. ฟีเจอร์และการใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์อื่น

• Zoho Sign: รองรับการผสานรวมกับแอปพลิเคชันอื่นในตระกูล Zoho เช่น Zoho CRM, Zoho Docs และ Zoho WorkDrive ซึ่งทำให้การจัดการเอกสารในระบบ Zoho เป็นไปอย่างราบรื่น หากคุณใช้ Zoho อยู่แล้ว จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้งาน Zoho Sign
• HelloSign: เน้นการใช้งานร่วมกับบริการยอดนิยมหลายตัว เช่น Google Workspace, Dropbox, และ Microsoft Office ซึ่งทำให้เหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้งานเอกสารที่จัดเก็บอยู่ในคลาวด์

3. ประสบการณ์การใช้งาน

• Zoho Sign: การใช้งานเป็นมิตรกับผู้ใช้ แม้แต่ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคก็สามารถเริ่มต้นใช้งานได้ทันที มีความสะดวกในการสร้างแบบฟอร์มสำหรับการเซ็นต์เอกสาร และสามารถติดตามสถานะเอกสารที่รอการเซ็นต์ได้แบบเรียลไทม์
• HelloSign: มี UI (User Interface) ที่เรียบง่ายและใช้งานง่าย มีฟีเจอร์ Drag & Drop ที่ช่วยให้การโหลดเอกสารและการกำหนดจุดเซ็นต์ง่ายและรวดเร็ว

4. ความปลอดภัย

• Zoho Sign: ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยโดยการใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัส SSL และมาตรฐานการเซ็นต์เอกสารที่สูง เพื่อให้มั่นใจว่าเอกสารที่เซ็นต์จะไม่ถูกปลอมแปลง นอกจากนี้ยังรองรับการตรวจสอบลายเซ็นต์ทางดิจิทัลที่สามารถยืนยันตัวตนได้
• HelloSign: มีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวดเช่นกัน โดยมีการเข้ารหัสข้อมูลทั้งในระหว่างการส่งและเก็บรักษาข้อมูล นอกจากนี้ยังรองรับการยืนยันตัวตนผ่าน OAuth และการใช้รหัส PIN สำหรับการเข้าถึงเอกสารที่สำคัญ

5. ราคาและแผนบริการ

• Zoho Sign: มีแผนบริการหลายรูปแบบตั้งแต่แผนฟรีไปจนถึงแผนธุรกิจ ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ โดยสามารถเลือกแผนที่เหมาะสมกับปริมาณเอกสารที่ต้องการจัดการ
• HelloSign: มีแผนบริการทั้งแผนฟรีและแผนเสียเงิน โดยแผนฟรีจะจำกัดจำนวนเอกสารที่สามารถเซ็นต์ได้ ส่วนแผนเสียเงินจะให้ฟีเจอร์ที่มากขึ้น เช่น การจัดการเอกสารที่ไม่มีการจำกัดจำนวน หรือการปรับแต่งโลโก้สำหรับธุรกิจ

6. การรองรับหลายภาษากับการเข้าถึง

• Zoho Sign: รองรับหลายภาษา ทำให้ผู้ใช้ทั่วโลกสามารถใช้งานได้ง่าย โดยเฉพาะในตลาดเอเชียและอินเดีย
• HelloSign: รองรับหลายภาษาเช่นกัน แต่เน้นที่ตลาดสหรัฐฯ และยุโรป

7. การบริการลูกค้า

• Zoho Sign: มีการสนับสนุนลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น อีเมล, การสนทนาสด และศูนย์ช่วยเหลือออนไลน์ โดยเฉพาะหากคุณใช้ผลิตภัณฑ์ของ Zoho อยู่แล้ว การสนับสนุนจากทีมงาน Zoho จะมีความเชี่ยวชาญสูง
• HelloSign: มีบริการลูกค้าผ่านการสนทนาสด, อีเมล และฐานข้อมูลความช่วยเหลือออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์การช่วยเหลือในแอปพลิเคชันที่ใช้งานได้อย่างสะดวก

สรุป

ทั้ง Zoho Sign และ HelloSign ต่างมีข้อดีและฟีเจอร์ที่เหมาะสมกับผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องมือในการเซ็นต์เอกสารออนไลน์ แต่ทั้งสองเครื่องมือมีจุดเด่นต่างกัน:

• หากคุณเป็นผู้ใช้บริการของ Zoho อยู่แล้ว หรือองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยสูงในการเซ็นต์เอกสาร Zoho Sign จะเป็นตัวเลือกที่ดี
• หากคุณต้องการเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและรองรับการผสานรวมกับบริการที่มีอยู่ในคลาวด์ เช่น Google Drive หรือ Dropbox HelloSign อาจจะเหมาะสมกว่า

การเลือกเครื่องมือที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของคุณและความต้องการเฉพาะของธุรกิจ!

หากสนใจระบบองค์กรติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Facebook fanpage ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Line Official