เว็บไซต์ E-Commerce กับ Marketplace ต่างกันยังไง?

เวลาเริ่มขายของออนไลน์ คำถามยอดฮิตคือ
“จะทำเว็บขายของเองดี หรือเริ่มจาก Shopee / Lazada / Marketplace ก่อนดี?”

ทั้ง เว็บไซต์ E-Commerce และ Marketplace ต่างก็ขายออนไลน์ได้เหมือนกัน แต่ “บทบาท” และ “ผลระยะยาว” ที่มีต่อแบรนด์ไม่เหมือนกันเลย บทความนี้จะช่วยแยกให้ชัด และสรุปให้ว่าแต่ละแบบเหมาะกับใคร รวมถึงควรเริ่มจากอะไรดีสำหรับธุรกิจของคุณ

e-commerce

เว็บไซต์ E-Commerce คืออะไร?

เว็บไซต์ E-Commerce คือ “ร้านค้าออนไลน์ของเราเอง” อยู่บนโดเมนที่เป็นของแบรนด์ เช่น
Black Cat Design

ลูกค้าเข้ามาดูสินค้า สั่งซื้อ จ่ายเงิน และติดตามสถานะได้ผ่านเว็บไซต์นี้ทั้งหมด โดยข้อมูลสินค้า ลูกค้า ยอดขาย ระบบสะสมคะแนน ฯลฯ อยู่ในระบบของเราเอง

จุดเด่นของเว็บไซต์ E-Commerce

  • คุมแบรนด์ได้เต็มที่
    เลย์เอาต์ สี ฟอนต์ โทนภาพ บทความ รีวิว ทุกอย่างสะท้อนตัวตนของแบรนด์ได้ 100%
  • เป็นทรัพย์สินของแบรนด์
    โดเมน + ฐานลูกค้า + คอนเทนต์ = สินทรัพย์ระยะยาว ไม่เสี่ยงจากแพลตฟอร์มเปลี่ยนนโยบาย
  • ต่อยอดการทำการตลาดได้ลึก
    เช่น SEO, เก็บอีเมล, ทำ Remarketing, เชื่อม CRM, Marketing Automation
  • ตั้งกติกาเองได้
    เรื่องราคา โปรโมชัน วิธีจัดส่ง เงื่อนไขพิเศษลูกค้าองค์กร ฯลฯ

ข้อจำกัดของเว็บไซต์ E-Commerce

  • ต้องลงทุนทำระบบ (ดีไซน์ + พัฒนา + ระบบหลังบ้าน + ดูแลเซิร์ฟเวอร์)
  • ต้องทำการตลาดเอง ดึงทราฟฟิกเข้าร้านเอง
  • ต้องมีทีม/คนดูแลเนื้อหา ระบบ และคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง

Marketplace คืออะไร?

Marketplace คือ “ห้างออนไลน์” ที่มีหลายร้านอยู่ในที่เดียวกัน เช่น Shopee, Lazada, JD Central, TikTok Shop ฯลฯ
ลูกค้าเข้ามาแล้วค้นหาสินค้า เปรียบเทียบหลายแบรนด์ เลือกตามราคา รีวิว โปร ฯลฯ

จุดเด่นของ Marketplace

  • มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว
    ไม่ต้องเริ่มจาก 0 ด้านทราฟฟิก ลูกค้าหลายล้านคนเข้าใช้งานทุกวัน
  • เริ่มขายได้เร็ว
    แค่สมัคร เปิดร้าน ลงสินค้า ก็เริ่มขายได้ ไม่ต้องทำเว็บเอง
  • ระบบพร้อมใช้
    ระบบตะกร้า ชำระเงิน จัดส่ง รีวิว แชทลูกค้า ทุกอย่างมีให้
  • เหมาะกับการเทสต์สินค้าใหม่
    เอาสินค้าขึ้นไปดูว่าตลาดตอบรับไหม ก่อนลงทุนหนักกับแบรนด์หรือเว็บไซต์

ข้อจำกัดของ Marketplace

  • แข่งขันด้านราคาแรง
    ลูกค้าเปรียบเทียบราคากันง่าย ร้านจำนวนมาก มักต้องทำโปร/ลดราคาเพื่อสู้คู่แข่ง
  • คุมแบรนด์ได้จำกัด
    หน้าเว็บ ร้านค้า Layout เหมือนกันเกือบหมด แยกตัวเองจากเจ้าอื่นได้ยาก
  • กฎเกมขึ้นกับแพลตฟอร์ม
    แพลตฟอร์มเปลี่ยนค่าธรรมเนียม กติกา หรือปิดร้านได้ ถ้าผิดนโยบาย
  • ฐานลูกค้า “ไม่ใช่ของเราเต็ม ๆ”
    ข้อมูลลูกค้าหลายอย่างถูกเก็บโดยแพลตฟอร์มเอง ทำ CRM / Retention ลึก ๆ ยากกว่าเว็บตัวเอง

เปรียบเทียบสั้น ๆ: เว็บไซต์ E-Commerce vs Marketplace

หัวข้อเว็บไซต์ E-CommerceMarketplace
การคุมแบรนด์สูงมาก – ปรับได้ตามที่ต้องการต่ำ – รูปแบบร้านคล้ายกันเกือบหมด
การเริ่มต้นใช้เวลาและงบมากกว่าเริ่มได้เร็ว แทบไม่ต้องเขียนโค้ด
การหาลูกค้าใหม่ต้องทำการตลาดดึงเข้าเว็บเองแพลตฟอร์มมีลูกค้าอยู่แล้ว
ค่าธรรมเนียมคุมต้นทุนได้เอง / ไม่มีค่า GP รายออเดอร์มักมีค่าธรรมเนียม / GP ต่อการขาย
การสร้างแบรนด์ระยะยาวดีมาก – เว็บเป็นสินทรัพย์ของแบรนด์เน้นยอดขายระยะสั้น / แข่งราคาเยอะ
การเก็บข้อมูลลูกค้าเก็บได้เองเต็ม ๆ (เชื่อม CRM ได้)ข้อมูลอยู่บนระบบ Marketplace เป็นหลัก

ธุรกิจควร “เริ่มจากอะไรดี”?

คำตอบไม่ได้มีแบบเดียว ขึ้นอยู่กับ “สถานะธุรกิจ” และ “ทรัพยากร” ที่มี ลองดูตามเคสหลัก ๆ ด้านล่าง

เคสที่ 1: ธุรกิจเพิ่งเริ่ม งบน้อย ต้องการยอดขายเร็ว

แนะนำ: เริ่มจาก Marketplace ก่อน แล้วค่อยวางแผนทำเว็บไซต์ตัวเองภายหลัง

เหตุผล:

  • ลงทุนเริ่มต้นต่ำ
  • ทดสอบได้ว่าสินค้าไหนขายดี ลูกค้าชอบอะไร
  • เก็บรีวิว สร้างยอดแรก ๆ เพื่อพิสูจน์ Product-Market Fit

แต่ควรคิดต่อไว้ตั้งแต่ต้นว่า

“ถ้าขายดีแล้ว จะดึงลูกค้ามาที่ช่องทางของแบรนด์เองยังไงในอนาคต?”

เคสที่ 2: มีแบรนด์อยู่แล้ว อยากสร้างภาพลักษณ์และฐานลูกค้าระยะยาว

แนะนำ: ทำ เว็บไซต์ E-Commerce เป็นศูนย์กลาง แล้วใช้ Marketplace เป็น “ช่องทางเสริม”

แนวทาง:

  • ใช้เว็บเป็นที่รวมสินค้า ข้อมูลละเอียด รีวิว บทความ วิธีใช้ ฯลฯ
  • ใช้ Marketplace เป็น “ช่องทางกระจายสินค้า” + “สร้างการรับรู้” เพิ่ม
  • ดึงคนจาก Marketplace ให้มารู้จักเว็บหลัก (เช่น การ์ดขอบคุณ, ใส่ QR, ทำคอนเทนต์)

แบบนี้จะได้ทั้งยอดขายระยะสั้น (จาก Marketplace) และการสร้างฐานลูกค้าระยะยาว (จากเว็บตัวเอง)

เคสที่ 3: สินค้าต้องการเล่าเรื่องเยอะ / เป็น B2B / ราคาไม่ใช่ถูกสุดในตลาด

แนะนำ: เว็บไซต์ E-Commerce / เว็บไซต์องค์กรแบบจริงจังสำคัญมาก

เพราะ:

  • ต้องใช้พื้นที่อธิบายคุณค่า จุดเด่น เคสลูกค้าเก่า
  • ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือ (Portfolio, Certificate, FAQ, Case Study)
  • ลูกค้ามักค้นข้อมูลผ่าน Google ชื่อแบรนด์ / ประเภทสินค้า แล้วตัดสินใจจากเว็บ

Marketplace ยังใช้เป็นช่องทางเสริมได้ แต่จะไม่ตอบโจทย์ด้าน “การเล่าเรื่องสินค้า” ได้ดีเท่าเว็บ

แล้วที่สุดแล้ว…ควรทำทั้งสองไหม?

ถ้าเป็นไปได้ “ทำทั้งสอง แต่ให้คนละบทบาท” จะดีที่สุด:

  • เว็บไซต์ E-Commerce / เว็บหลักของแบรนด์
    → ไว้สร้างแบรนด์ สะท้อนตัวตน เก็บฐานลูกค้า ทำ SEO / CRM / Automation
  • Marketplace
    → ไว้สร้างยอดขายระยะสั้น เข้าถึงลูกค้าใหม่ และใช้เป็น “จุดเริ่มต้น” ให้คนได้ลองสินค้าเรา

คิดง่าย ๆ ว่า:

  • Marketplace = ห้างที่เราไปเช่าพื้นที่ขายของ
  • เว็บไซต์ของเรา = ร้านหลัก/โชว์รูมที่เราคุมทุกอย่างเอง

สรุป: เลือกให้ตรงกับเป้าหมาย และคิดเผื่อระยะยาวเสมอ

  • ถ้า เพิ่งเริ่ม และอยากทดสอบตลาด → Marketplace คือทางลัดที่ดี
  • ถ้า อยากสร้างแบรนด์จริงจัง / ทำธุรกิจระยะยาว → เว็บไซต์ E-Commerce คือสิ่งที่ต้องมี
  • ถ้า ธุรกิจเริ่มโต → การใช้สองช่องทางร่วมกัน โดยให้เว็บเป็น “ฐานหลัก” และ Marketplace เป็น “ช่องทางขยาย” จะยืดหยุ่นที่สุด

สุดท้ายไม่ใช่คำถามว่า “อันไหนดีกว่า”
แต่คือคำถามว่า “ตอนนี้ธุรกิจเราต้องการอะไร และพร้อมแค่ไหน”
แล้วค่อยวางแผนให้ทั้งเว็บไซต์และ Marketplace ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มประสิทธิภาพที่สุด

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Black Cat Design 👈

Share:

More Posts

ก่อนจ้าง รับออกแบบบูธ ต้องถามอะไรบ้าง? เช็กลิสต์สำหรับเจ้าของแบรนด์

กำลังมองหาทีม รับออกแบบบูธ อยู่ไหม? บทความนี้สรุปคำถามและเช็กลิสต์ที่เจ้าของแบรนด์ควรถามก่อนจ้าง เพื่อให้ได้บูธที่คุ้มค่า ตรงใจ และพร้อมใช้งานจริงในวันออกงาน

รับออกแบบบูธ : พร้อมผลิตและติดตั้ง จบครบในที่เดียวดีอย่างไร

รับออกแบบบูธ พร้อมผลิตและติดตั้งแบบครบวงจร ตั้งแต่ไอเดียแรกจนถึงวันเปิดงาน ทีมเดียวดูแลทุกขั้นตอน คุมงบง่าย ดีไซน์ตรงแบรนด์ งานเสร็จตรงเวลา พร้อมดูแลหน้างานให้คุณมั่นใจทุกอีเวนต์

Send Us A Message