อัตโนมัติขั้นสูงด้วย Workflow และ Blueprint

ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันสูง การทำงานแบบแมนนวลอาจทำให้ทีมขายพลาดโอกาสสำคัญ Zoho CRM มาพร้อมเครื่องมือ Workflow Rules และ Blueprint ที่ช่วยอัตโนมัติขั้นตอนการขาย ตั้งแต่กรองดีล สร้างงานติดตาม จนถึงอนุมัติขั้นสุดท้าย บทความนี้จะแนะนำวิธีตั้งค่าใช้งานจริง เพื่อให้ทีมของคุณทำงานเร็วขึ้น ถูกต้องขึ้น และโฟกัสกับการปิดยอดขายได้เต็มที่

ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันสูง การทำงานแบบแมนนวลอาจทำให้ทีมขายพลาดโอกาสสำคัญ Zoho CRM มาพร้อมเครื่องมือ Workflow Rules และ Blueprint ที่ช่วยอัตโนมัติขั้นตอนการขาย ตั้งแต่กรองดีล สร้างงานติดตาม จนถึงอนุมัติขั้นสุดท้าย บทความนี้จะแนะนำวิธีตั้งค่าใช้งานจริง เพื่อให้ทีมของคุณทำงานเร็วขึ้น ถูกต้องขึ้น และโฟกัสกับการปิดยอดขายได้เต็มที่

Workflow

1. ทำความรู้จัก Workflow vs Blueprint

  • Workflow Rules: กำหนดเงื่อนไข (Trigger) แล้วให้ระบบทำงานอัตโนมัติ เช่น ส่งอีเมล สร้าง Task หรืออัปเดตฟิลด์
  • Blueprint: สร้างขั้นตอน (Transition) ของแต่ละ Stage ให้เปลี่ยนสถานะได้ตามกฎระเบียบ พร้อมกำหนดผู้อนุมัติ (Approver) และ Action พ่วงหลังการเปลี่ยนสถานะ

2. การออกแบบ Automation ให้ครบทุกเงื่อนไข

  1. วิเคราะห์ Use Case
    • แยกกรณีปกติ vs กรณีพิเศษ เช่น ดีลมูลค่าสูง ต้องอนุมัติเพิ่มเติม
  2. กำหนด Trigger
    • เริ่มต้นจาก “เมื่อสร้าง/อัปเดตระเบียน” หรือ “เมื่อถึงวันที่กำหนด”
  3. เลือก Action หลัก
    • ส่งอีเมล, สร้าง Task, แจ้งเตือน Slack (ผ่าน Integration), อัปเดตฟิลด์

3. สร้าง Workflow Rules ขั้นสูง

  1. ไปที่ ตั้งค่า → กระบวนการอัตโนมัติ → Workflow Rules
  2. คลิก “Create Rule” เลือกโมดูล เช่น Deals
  3. กำหนดเงื่อนไขหลายชั้น (Criteria) แบบ AND/OR เช่น
    • Stage = Negotiation AND Amount ≥ 100,000
  4. เพิ่มหลาย Action:
    • Action 1: ส่งอีเมลแจ้ง Sales Manager
    • Action 2: สร้าง Task “ติดตามข้อเสนอ” ภายใน 2 วัน
    • Action 3: อัปเดตฟิลด์ “Last Follow-up Date” เป็นวันที่ปัจจุบัน

4. ออกแบบ Blueprint ให้เป็น “กระบวนการที่ต้องควบคุม”

  1. ไปที่ ตั้งค่า → กระบวนการอัตโนมัติ → Blueprint
  2. เลือกโมดูล Deals และ Pipeline ที่ต้องการ
  3. กำหนด Start Status และ End Status
  4. สำหรับแต่ละ Transition:
    • ระบุชื่อสถานะต้นทาง–ปลายทาง (e.g. Proposal → Negotiation)
    • กำหนด Criteria เพื่อปลดล็อกการเปลี่ยนสถานะ
    • เพิ่ม Approver (ถ้ามี) และ Mandatory Fields ที่ต้องกรอกก่อน
    • พ่วง Post-Transition Action เช่น ส่งอีเมลแจ้งลูกค้า หรือสร้างกิจกรรมอัตโนมัติ

5. การใช้ Custom Functions และ Webhooks ร่วมกับ Workflow

  • Custom Functions: เขียนสคริปต์ Deluge เพื่อคำนวณ, เชื่อม API ภายนอก, หรือสร้างเอกสารอัตโนมัติ
  • Webhooks: แจ้งระบบภายนอกเมื่อเงื่อนไขตรงตามที่กำหนด เช่น ส่งข้อมูลไปยัง ERP หรือระบบ BI

6. Best Practices ในการจัดการ Automation

  1. ตั้งชื่อให้ชัดเจน: Rule/Blueprint แต่ละตัวควรสื่อความหมายของงาน
  2. มีเอกสารอ้างอิง: จด Workflow Diagram และเงื่อนไขทุกอย่าง
  3. ทดสอบใน Sandbox ก่อน: ลดความเสี่ยงกระทบข้อมูลจริง
  4. Monitor & Audit: ใช้ Audit Logs ตรวจสอบการทำงาน และปรับแก้เงื่อนไขเมื่อองค์กรเปลี่ยนแปลง

7. ตัวอย่างเคสใช้งานจริง

  • ดีลมูลค่าสูง: เมื่อสร้าง Deal >500,000 ให้ระบบสร้าง Task แจ้งผู้บริหารและรอ Approver
  • ติดตามลูกค้ารายใหม่: หลังแปลง Lead เป็น Contact ให้ส่งอีเมลต้อนรับอัตโนมัติ พร้อมมอบ Voucher ทดลองใช้
  • เตือน SLA: ถ้าดีลค้างใน Stage เดิมเกิน 7 วัน ให้ส่งแจ้งเตือนไปยัง Owner และผู้จัดการ

สรุป

การผสาน Workflow Rules และ Blueprint เข้าด้วยกัน ช่วยให้ Zoho CRM เป็นระบบที่ทั้งยืดหยุ่นและเข้มงวดตามมาตรฐานองค์กร ตั้งแต่การอนุมัติดีล ไปจนถึงการแจ้งเตือนและสร้างงานตาม SLA ทำให้ทีมขายลดความผิดพลาด ทำงานเร็วขึ้น และโฟกัสกับการปิดยอดขายได้เต็มที่

หากสนใจติดต่อได้ที่ Facebook นี้ได้เลย คลิ๊ก!!

Share:

More Posts

Zoho Creator สร้างแอป

ในยุคที่ทุกองค์กรต้องเร่ง “เปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล” การสร้างระบบงานเฉพาะของบริษัทไม่จำเป็นต้องจ้างทีมโปรแกรมเมอร์อีกต่อไป

Send Us A Message